วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

หนอนมรณะมองโกล ( Mongolian Death Worm )

หนอนมรณะมองโกล ( Mongolian Death Worm )

Image

หนึ่งในคอลเล็กชั่นสะสมของ Museum of World Oddities , Florida

Mongolian Death Worm หนอนมรณะมองโกล เป็นหนึ่งใน สัตว์ประหลาดในตำนาน ที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ลึกลับ (Cryptozoology ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ลึกลับ ) ต้องการจะค้นหาและ พิสูจน์หาความจริงให้ได้มากชนิดหนึ่งในโลก โดยมีข้อมูลของ สัตว์ประหลาดตัวนี้ดังนี้

>ตามตำนานเล่าว่ามันมีถิ่นอาศัยอยู่ใน ทะเลทรายโกบี ( Gobi Desert )
>หนอนมรณะมีลำตัวสี แดงจัด
>ลำตัวยาว 0.6 - 1.5 เมตร (ยาวแฮะ)
>มี ชื่อในภาษาท้องถิ่นว่า "Allghoi Khorkhoi" ซึ่งมีความหมายว่า หนอนเลือดในลำไส้ เนื่องจากมีรายงานว่าพบมันในลำไส้ของวัว ตามที่ชาวมองโกลได้เล่าต่อกันมา (เข้าไปได้ไงหว่า)
>พวกมันสามารถพ่นกรดกำมะถัน ( Sulfuric Acid ) สีเหลืองใส่เหยื่อ ที่สามารถฆ่ามนุษย์ได้ (โอ้วววว)
>ยังมีความเชื่ออีกว่า พวกมันสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อสังหารเหยื่อ ได้อีกด้วย (ปลา เอ่ย หนอนไฟฟ้า)


Image
ภาพ วาด จากจิตนการ ว่าพวกมันสามารถพ่นสารพิษทางปาก และปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ทางหาง ตามความเชื่อของชาวท้องถิ่น หนอนมรณะมองโกล คือสิ่งชั่วร้ายและอัปมงคลเป็นที่สุดกับการที่ได้พบเห็น หรือเพียงแต่เอ่ยชื่อ ยังเป็นที่หวั่นเกรง และเป็นที่ สุดสยอง

การศึกษา และสำรวจ เกี่ยวกับ หนอนมรณะมองโกล
แต่ นักวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่ได้ปฏิเสธ ถึงความเป็นไปได้ทีจะมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ถึงเพียงนี้ที่จะสามารถดำรงณ์ชีวิตอยู่ได้ในทะเลทรายโกบี เนื่องจากทั้งสภาพอากาศที่เลวร้าย แหล่งอาหารที่น้อยนิด
หนึ่งในผู้ศึกษา และค้นหา หนอนมรณะมองโกล อย่างจริงจัง คือนาย Ivan Mackerle ที่ให้สัมภาษณ์ กับนิตยสาร Fate Magazine เมื่อเดือนมิถุนายน 1991 ว่า " พวกมันเหมือนไส้กรอก ที่ยาวประมาณ 50 เซ็นติเมตร ลำตัวอ้วนเท่าแขนของผู้ชาย พวกมันอาศัยอยู่ในลำไส้ของพวกวัวควาย พวกมันมีหางสั้น และเป็นการยากที่จะบอกว่าส่วนไหนเป็นหัว หรือหางเนื่องจากพวกมันไม่มีตา หรือรูจมูก และปาก พวกมันมีสีแดงคล้ำ คล้ายเลือด พวกมันเคลื่อนที่โดยการคลาน หรือบางครั้งก็บิดไปทางด้านข้าง ก่อนที่จะฝังตัวเข้าไปในเหยื่อ พวกมันจะอาศัยอยู่ในทราย และจะโผล่ขึ้นมาในช่วงมี่มีฝนตกเท่านั้น"

Image
Image
รูปนาย Ivan Mackerle ผู้ศึกษาและตามล่าตัว หนอนมรณะมองโกล

1996 เมื่อปี 1996 นักสัตว์วิทยา นามว่า Karl Shuker นำความเชื่อดังกล่าวมาเปิดเผย และเป็นที่กล่าวขานกัน เมื่อมีการตีพิมพ์หนังสือที่มีชือว่า The Unexplained
2005 และในปี 2005 ได้มีการจัดคณะสำรวจ ที่เกิดจากความร่วมมือของ Center for Fortean Zoology และ E-Mongol Investigsted ได้ทำการออกสำรวจ และศึกษา หนอนมรณะมองโกล แต่ไม่พบหลักฐานของการมีตัวตนของมัน แต่ยังไม่สามารถสรุปว่า จะไม่มีพวกมันอยู่จริงในส่วนลึกของทะเลทรายโกบี
และ เมื่อไม่เร็วๆนี้ ได้มีการทำสารคดี ออกฉายในรายการ Destination Truth ออกอากาศในชื่อตอนว่า Haunted Island & Devil Worm เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2008
Image
รูป หนอนมรณะมองโกล ตามความคิดของ Pieter Dirkx

Image
นี้ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง




Credit : http://en.wikipedia.org/wiki/Mongolian_Death_Worm

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธรรมชาติของปลาวาฬ

ธรรมชาติของปลาวาฬ

ถึงแม้ว่าช้างจะเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็ตาม แต่ช้างก็ยังมีขนาดตัวเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับปลาวาฬ เพราะสถิติปลาวาฬพันธุ์ Balaenoptera ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลกนั้น ยาวถึง 34 เมตร และหนัก 190 ตัน ซึ่งคิดเทียบได้กับช้าง 10 ตัว แม้แต่ไดโนเสาร์เองซึ่งคนบางคนคิดว่าใหญ่กว่าปลาวาฬก็ยังหาได้ใหญ่เท่าไม่ ทั้งนี้เพราะความยาวของไดโนเสาร์ส่วนใหญ่อยู่ที่คอและหาง ส่วนที่เป็นลำตัวจริงๆ จึงยาวน้อยกว่าปลาวาฬ

มนุษย์รู้จักปลาวาฬมานานแสนนานแล้ว Aristotle นักปราชญ์ชาติกรีกในสมัยพุทธกาลได้เคยหลงผิดคิดว่าปลาวาฬเป็นปลา และความหลงผิดนี้ได้ติดตามมาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2236 John Ray นักชีววิทยาชาวอังกฤษก็ได้เป็นบุคคลแรกที่ตระหนักความจริงว่าปลาวาฬมิใช่ปลาแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมันออกลูกเป็นตัวและเลี้ยงลูกอ่อนของมันด้วยนมตามปกติปลาวาฬจะตั้งครรภ์นาน 1 ปี และเวลาคลอดลูกส่วนหางของลูกจะโผล่ออกมาก่อนลูกปลาวาฬสีน้ำเงิน (blue whale) ที่คลอดใหม่ๆ มีลำตัวยาวประมาณ 6 เมตร และหนักประมาณ 2 ตัน และเนื่องจากนมปลาวาฬมีโปรตีนและไขมันสูง ลูกปลาวาฬจึงเจริญเติบโตเร็ว นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า หากเราเจาะครรภ์ปลาวาฬก่อนคลอดลูก เราจะพบว่าลูกปลาวาฬในท้องมีขนตามตัว แต่ขนเหล่านี้ได้หลุดจากร่างของตัวอ่อนไปก่อนที่มันจะถูกคลอดออกมา

เมื่อดูเผินๆ ปลาวาฬมีลำตัวที่ดูคล้ายตอร์ปิโดหรือในทางตรงกันข้าม ตอร์ปิโดก็ดูคล้ายปลาวาฬ มันมีศรีษะใหญ่ ไม่มีคอ ตาของมันมีขนาดเล็ก รูจมูกของมันอยู่บนหลัง มันหายใจได้เช่นคนโดยผ่านรูจมูก 2 รู ตามธรรมดาปลาวาฬชอบกินสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง ปลาหมึก แมวน้ำ และปลาต่างๆ เป็นอาหาร เวลาว่ายน้ำมันใช้หางโบกขึ้นลงๆ ทำให้ว่ายน้ำได้เร็ว โดยเฉาะปลาวาฬพิฆาต (Orcunus orca) นั้นสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 56 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความสามารถด้านการดำน้ำลึกนั้น นักชีววิทยาได้สังเกตเห็นว่า ปลาวาฬสีน้ำเงิน (Physeter catadon) ดำน้ำได้ลึกถึง 3 กิโลเมตร การดำน้ำได้ลึกเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าปลาวาฬสามารถกลั้นลมปราณได้นานเป็นชั่วโมงและออกซิเจนมิได้อยู่ที่ปอดของมันเพียงแห่งเดียวแต่อยู่ในส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อด้วย การมีออกซิเจนในตัวมากเช่นนี้ ทำให้เนื้อปลาวาฬมีสีแดงเข้มจัดกว่าเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ

การสังเกตของ A.R. Martin แห่ง Sea Mammal Research Unit ของ Natural Environment Research Council ในประเทศอังกฤษเมื่อเร็วๆ นี้ ได้รายงานว่าหลังจากได้ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับส่งสัญญาณบนหลังปลาวาฬแล้วเขาใช้ดาวเทียมรับและวิเคราะห์สัญญาณจากปลาวาฬ ผลการศึกษาข้อมูลทำให้เขารู้ว่า ปลาวาฬตัวผู้เวลาอพยพจากทะเล Beaufort ไปยังเกาะ Melville มันต้องว่ายน้ำผ่านทวีปที่มีน้ำแข็งปกคลุม เมื่อมันว่ายเหนือน้ำไม่ได้ มันก็ต้องดำน้ำไป โดยการลอดใต้ก้อนน้ำแข็งมากมาย และในการดำน้ำ มันจะดำในแนวเฉียงลึกลงไปเป็นกิโลเมตรแล้วจึงหวนกลับ ขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจอีก มันจะดำน้ำลักษณะตัว V เช่นนี้เพราะที่ระดับลึกมากๆ ปลาวาฬมีโอกาสเห็นช่องว่างระหว่างภูเขาน้ำแข็งในทะเลได้ง่าย ซึ่งบริเวณช่องว่างนี้จะเป็นบริเวณที่มันสามารถโผล่หัวขึ้นมาหายใจได้ หากมันต้องการ

นอกจากความสามารถในการดำน้ำแล้ว ปลาวาฬยังสามารถส่งเสียง และทำเสียงสัญญาณต่างๆ ได้อีกมากด้วยและนับตั้งแต่วินาทีที่มันถูกคลอดออกจากท้องของแม่มัน จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายก่อนที่มันจะตายมันจะส่งเสียงและรับเสียงต่างๆ ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน หรือในยามมันออกหาล่ามันก็จะส่งคลื่นเสียงออกไปกระทบตัวเหยื่อก่อน จากนั้นมันจะคอยฟังคลื่นที่สะท้อนจากเหยื่อ ข้อมูลที่ได้จะบอกมันให้รู้ชนิดและตำแหน่งของเหยื่อ และถึงแม้ปลาวาฬจะไม่มีคอและไม่มีสายเสียงก็ตาม แต่มันก็สามารถส่งเสียงร้องออกไปได้ไกลๆ เสียงของปลาวาฬบางพันธุ์ ดังพอๆ กับเครื่องบินเจ็ต นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่าเวลาปลาวาฬสนทนากัน มันจะส่งเสียงร้องลักษณะหนึ่งแต่เวลามันจะฆ่าเหยื่อมันจะร้องอื้ออึงอีกแบบหนึ่งหรือเวลาที่มันว่ายน้ำเป็นกลุ่ม มันจะส่งเสียงร้องที่มีทำนองต่างออกไป เพื่อบอกเพื่อนปลาร่วมทะเลให้รู้ทิศและตำแหน่งที่มันกำลังว่ายน้ำอยู่ปลาวาฬจะส่งเสียงร้องเป็นจังหวะ เช่น ปลาวาฬสีน้ำเงินเวลาอพยพย้ายถิ่น จะส่งเสียงร้องนาน 20 วินาที สลับกับการว่ายน้ำเงียบ 20 วินาที

ปัจจุบันนักอนุรักษ์ปลาวาฬใช้ข้อมูลเสียงของปลาวาฬในการบอกจำนวน ชนิดและกิจกรรมต่างๆ ที่ปลาวาฬกระทำ เพราะข้อมูลเสียงนี้ชัดเจน แม่นยำ และถูกต้องยิ่งกว่าการสังเกตดูปลาวาฬด้วยตาจากระยะไกลๆ

ปัญหาหนึ่ง ที่นักชีววิทยาสนใจมาก คือบรรพบุรุษของปลาวาฬคือสัตว์อะไร ในช่วงระยะเวลา 150 ปีที่ผ่านมานี้ นักชีววิทยาที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์ได้ขุดพบหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าในอดีตเมื่อ 65 - 75 ล้านปีมาแล้วบรรพสัตว์ของปลาวาฬได้เคยอาศัยอยู่บนบกและเคยเดินได้ หลักฐานหนึ่งที่พบในหุบเขา Zeuglodon ในประเทศ อียิปต์ แสดงให้เห็นซากกะโหลกปลาวาฬที่มีฟันเป็นซี่ๆ มีลำตัวยาว 12 เมตรและมีกระดูกขาหลังที่เล็กมากซึ่งอยู่ค่อนไปทางหางกระดูกขาที่เล็กมาของปลาวาฬพันธุ์ Basilosaususisis ที่มีอายุประมาณ 40 ล้านปีนี้ แสดงให้เห็นว่าปลาวาฬยุคนั้นยังเดินไม่ได้

แต่ในปี พ.ศ. 2535 นั่นเอง H.Thewissen แห่งมหาวิทยาลัย Ohio ได้รายงานในวารสาร Science ว่าเขาได้ขุดพบกระดูกของปลาวาฬ Ambulocetusnatans อายุ 52 ล้านปี ในบริเวณภูเขา Kala Chitta ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถานโครงกระดูกที่ค่อนข้างสมบูรณ์นี้ประกอบด้วยกะโหลกที่มีฟัน ซี่โครงกระดูกขา 4 ขา หน้า หลัง และหาง Thewissen คาดคะเนว่าปลาวาฬเจ้าของซากกระดูกนี้มีลำตัวยาว 3 เมตร และหนักประมาณ 300 กิโลกรัม กระดูกขาหน้าที่สั้นและอยู่ติดกับลำตัวนั้น แสดงให้เห็นว่ามันใช้ขาหน้าในการเคลื่อนที่บนบก โดยการขยับตัวยกอกแล้วลากท้องไปตามพื้นดินเหมือนสิงโตทะเลส่วนขาหลังนั้นหดเล็ก และยาวเพียง 4 นิ้วเท่านั้นเอง การมีโครงสร้างร่างกายเช่นนี้ ทำให้มันเป็นสัตว์บกที่งุ่มง่ามมาก การหาอาหารเลี้ยงปากท้องจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่เมื่อมันอยู่ในน้ำ มันได้พบว่ามันสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว อาหารที่มันบริโภคจึงมักเป็นอาหารที่มันหาได้ในทะเล ดังนั้น ต้นตระกูลของปลาวาฬจึงได้ตัดสินใจอพยพจากบกลงทะเลอย่างถาวร เมื่อ 50 ล้านปีมานี้เอง และดำรงชีวิตเป็นสัตว์น้ำอย่างไม่หวนกลับขึ้นบกอีกเลย ซึ่งพฤติกรรมนี้แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น แมวน้ำ และตัว walrus ที่เวลาจะคลอดลูก มันจะขึ้นจากทะเล

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในอดีตเมื่อ 1,000 ปีก่อนนี้ ชนเผ่า Basque ในยุโรปเป็นชนเผ่าแรกที่ดำรงชีวิตโดยการจับปลาวาฬมาเป็นอาหาร ต่อมาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวแคนาดา อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ก็ได้เริ่มเข้ามาประกอบอาชีพเป็นนักล่าปลาวาฬด้วย เรือ Mayflower ที่เคยใช้บรรทุกผู้โดยสารจากยุโรป สู่อเมริกาก็เคยเป็นเรือล่าปลาวาฬ และกิจกรรมล่าปลาวาฬได้มีการดำเนินการกันอย่างกว้างขวางและจริงจัง เพราะมนุษย์พบว่าแทบทุกส่วนของปลาวาฬมีประโยชน์ เช่น ไขใช้ทำสบู่ น้ำมันหล่อลื่น เชื้อเพลิงจุดตะเกียง เนื้อใช้บริโภคและกระดูกปลาวาฬใช้ทำเป็นปุ๋ย

ทุกวันนี้ปลาวาฬกำลังถูกไล่ล่าฆ่ามากมายปลาวาฬบางตัวได้รับเสียงรบกวนจากเรือ จากเครื่องยนต์ในทะเลหรือจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เมื่อมีการสำรวจพบในปี พ.ศ.2509 ว่า จำนวนประชากรปลาวาฬกำลังร่อยหรอคือเหลือเพียง 12,000 ตัว เท่านั้นเองปลาวาฬ ก็ได้รับการประกาศว่าเป็นสัตว์ที่โลกควรอนุรักษ์ตั้งแต่นั้นมา

ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2541 H. Caswell แห่ง Woods Hole Oceanographic Institution ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานการสำรวจปลาวาฬ right whale ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงปลาวาฬนี้จะสูญพันธุ์ ในอีก 200 ปีข้างหน้า เขาได้ข้อมูลนี้จากการเริ่มถ่ายภาพปลาวาฬพันธุ์ right whale ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 และได้คำนวณพบว่าอัตราการอยู่รอดของปลาวาฬพันธุ์นี้ได้ลดน้อยลงในทุกปี โดยในปี พ.ศ. 2523 นั้น เขาได้พบว่า จำนวนประชากรของปลาวาฬได้เพิ่มขึ้น 5.3% แต่หลังจากนั้น จำนวนก็ได้ลดลง 2.4% ทุกปี และเขาได้พบสาเหตุสำคัญทำให้โลกต้องสูญเสียปลาวาฬมากที่สุดว่า เกิดจากการที่ปลาวาฬถูกเรือชน และเมื่ออัตราการเกิดลด เพราะปลาวาฬผสมพันธุ์กันในตระกูลเดียวกัน และมลภาวะของทะเลมีมากขึ้นทุกวัน จำนวนปลาวาฬจึงได้ลดลงทุกปี

Caswell ได้เสนอแนะให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกกฎหมายแก้ไขสาเหตุเหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เห็นด้วย โดยได้ออกกฎหมายบังคับให้เรือทุกลำที่จะแล่นเข้าน่านน้ำ New England และ Florida ติดต่อยามฝั่งขอข้อมูลตำแหน่งปลาวาฬครั้งล่าสุดแล้วครับ

.


Credit : www.school.net.th
ไดโนเสาร์...สัตว์โลกล้านปี
จากภาพยนต์เรื่อง จูราสสิค พาร์ค ของสตีเว่น สปิลเบิร์ก ที่นำเข้ามาฉายในประเทศไทย เมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้ ทำให้คนไทยเกิดการคลั่งไคล้ไดโนเสาร์หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคไดโนเสาร์ฟีเวอร์ เพราะนอกจากจะมีการกล่าวขานถึงทั้งในเด็กและผู้ใหญ่แล้ว ยังมีการสร้าง หุ่นจำลอง จัดนิทรรศการ พิพิธภัณฑ์ ตลอดhttp://blog.hunsa.com/user/sillytite6643/upload/gorgosaurus.jpgจนภาพวาดและของเล่น ล้วนเกี่ยวข้องกับ ไดโนเสาร์แทบทั้งสิ้น ล่าสุดห้างเซ็นทรัล รามอินทราและสวนสยามยังคงจัดแสดงหุ่น ไดโนเสาร์ ให้ผู้ชมเข้าและศึกษาหาความรู้ บางท่านอาจจะสงสัยว่า ไดโนเสาร์ คืออะไร ในสมัยดึกดำบรรพ์มีจริงหรือไม่ สูญพันธุ์ ไปหมดแล้วจริงหรือ เราศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์ได้อย่างไรและอีกหลากหลาย คำถามที่ต้องการค้นหาคำตอบ

คำว่าไดโนเสาร์ ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2384 โดยนาย ริชาร์ด โอเวนนักกายวิภาค วิทยา ชาวอังกฤษ ตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกสัตว์ชนิดหนึ่งที่ขุดพบในรูปของซากดึกดำบรรพ์ เป็น โครงกระดูกขนาดใหญ่ โดยนายริชาร์ด ใช้คำว่า ไดโนเสาร์เพราะมาจากภาษาอังกฤษว่า dinosaurs เป็นคำผสมจากภาษากรีก ว่า deinos ซึ่งแปลว่า น่าเกลียดน่ากลัว กับคำว่า sauros แปลว่า กิ้งก่า ดังนั้น ไดโนเสาร์ จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า กิ้งก่าที่น่าเกลียด น่ากลัว ซึ่งอาจจะน่ากลัวในสายตาของนายริชาร์ด และอาจจะไม่น่ากลัวเลยในสายตาของนักวิทยาศาสตร์บางคน

ความรู้เกี่ยวกับไดโนเสาร์นั้น ส่วนใหญ่ได้มาจากซากดึกดำบรรพ์ที่เรียกตามศัพท์วิทยาศาสตร์ว่า ฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นฟอสซิลโครงกระดูก รอยเท้า เปลือกไข่ อุจจาระ ตลอดจนกลายสภาพเป็นหินแข็งอยู่ภายใต้ผิวโลก ครั้นเวลาผ่านไปเปลือกโลกมีการเคลื่อนตัว ซากฟอสซิลเหล่านี้จึงปรากฏบนพื้นผิวโลกให้เห็นตามที่ต่าง ๆ เป็นหลักฐานศึกษาการวิวัฒนาการของไดโนเสาร์ได้เป็นอย่างดี


ความจริงแล้วมนุษย์เคยค้นพบกระดูก และรอยเท้าไดโนเสาร์มาเป็นเวลานานแล้ว เพียง แต่ว่าผู้คนยุคต้น ๆ นั้น คิดว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์ของกิ้งก่า มังกรหรือแม้กระทั่งนกกาเหว่า ยักษ์ จนกระทั่ง นายริชาร์ด ได้ให้ความเห็นว่า โครงกระดูกของสัตว์เหล่านั้น เป็นของสัตว์ กลุ่มหนึ่งที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงใกล้http://www.sarakadee.com/feature/2001/07/images/dinosaur_02.jpgชิดกับพวกกิ้งก่าแต่ไม่จัดเป็นพวกกิ้งก่า ซึ่งถ้าดูจากโครงสร้างของโครงกระดูกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน พอจะแยกออกได้เป็น 7 ลักษณะ นักโบราณคดีและนักชีววิทยา ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้ว่า ถ้าแบ่งช่วงเวลาที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ในโลก จะแบ่งออก
ได้เป็น 3 ช่วง คือ

1. ช่วงไตรแอสสิก (Triaassic) เป็น
ช่วงแรกของการเกิดไดโนเสาร์ คือ
ประมาณ 250- 205 ล้านปีมาแล้ว ได้แก่




2. ช่วงจูราสสิก (Jurassic) เป็น
ช่วงที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ประมาณ
205-135 ล้านปีมา แล้ว ในช่วงนี้มีไดโนเสาร์หลากหลายชนิด ทั้งมีเขาไม่มีเขา มีเกราะ ไม่มีเกราะ คอยาว คอสั้น ตลอดจนวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์ปีก ได้แก่


3. ช่วงครีเตเชียส (Cretaceous)
เป็นช่วงที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ประมาณ
135-66 ล้านปีมาแล้วเป็นช่วงสุดท้าย
ของไดโนเสาร์ซึ่งจะมีวิวัฒนาการสูงสุด
และสูญพันธุ์ไปในที่สุด ได้แก่


1. Herreraasaurus

2. Staurikosaurus

3. Coelophysis

4. plateosaurus

5. protoavis ฯลฯ



ไดโนเสาร์ ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดซึ่งถูกขุดพบที่ประเทศอาร์เจนตินา โดยนาย พอล เซเรโน นักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัย ชิคาโก ขุดพบในปี พ.ศ. 2534 และให้ชื่อสัตว์ที่ขุดพบว่า อีโอแรพเตอร์ชนิดใหม่ล่าสุดที่ขุดพบเมื่อเดือน เมษายน ปี 2536 มีชื่อว่า โมโนไนคัส (Mononycus) ซึ่ง นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่าคล้าย กับซากดึกดำบรรพ์ของนกโบราณชนิดหนึ่งที่ขุดพบ เมื่อปี พ.ศ. 2504 ซึ่งประมาณอายุได้ 150 ล้านปี นกโบราณชนิดนี้ คือ อาร์คีออฟเทอริกซ์ (Archaeopteryx) ดังนั้น สายวิวัฒนาการของนกกับไดโนเสาร์จะต้องเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน แต่อะไรจะ เป็นต้นตระกูลของอะไรจะต้องหาหลักฐานกันต่อไป แต่ที่แน่นอนที่สุดไดโนเสาร์ไม่ได้ สูญพันธุ์ไปจากโลกจนหมดสิ้น นักโบราณคดีและนักชีววิทยาหลายท่านเชื่อว่ายังมีไดโนเสาร์ สายพันธุ์หนึ่งที่ยังคงสืบเชื้อสายอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้และมีอยู่เป็นจำนวนมากมายต่างพากันเรียก ไดโนเสาร์กลายพันธุ์ชนิดนี้ว่า นก แต่ต้นตระกูลนกจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นนกชนิด ใดก่อนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันต่อไป แจ็ก ฮอร์เนอร์ ซึ่งเป็นนักโบราณคดีและนักชีววิทยา รวมถึงนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ได้ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้อย่างน่าฟัง ถึงเหตุผลที่ทำให้ไดโนเสาร์สามารถอยู่รอดได้ถึง 150 ล้านปี

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ไดโนเสาร์ที่มีลักษณะใหญ่โตเหล่านั้น ก็สูญพันธุ์ไปสิ้นเมื่อ 65 ล้าน ปีที่แล้ว มีหลากหลายทฤษฏีที่ชี้แจงการสิ้นสุดของไดโนเสาร์ ทั้งทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ตลอดจนทฤษฎีดาวหางและอุกกาบาต แต่ดูเหมือนทฤษฎีหลังจะเป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์และประชาชนทั่วไป

ไดโนเสาร์ ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดซึ่งถูกขุดพบที่ประเทศอาร์เจนตินา โดยนาย พอล เซเรโน นักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัย ชิคาโก ขุดพบในปี พ.ศ. 2534 และให้ชื่อสัตว์ที่ขุดพบว่า อีโอแรพเตอร์

ชนิดใหม่ล่าสุดที่ขุดพบเมื่อเดือน เมษายน ปี 2536 มีชื่อว่า โมโนไนคัส (Mononycus) ซึ่ง นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่าคล้าย กับซากดึกดำบรรพ์ของนกโบราณชนิดหนึ่งที่ขุดพบ เมื่อปี พ.ศ. 2504 ซึ่งประมาณอายุได้ 150 ล้านปี นกโบราณชนิดนี้ คือ อาร์คีออฟเทอริกซ์ (Archaeopteryx)

ดังนั้น สายวิวัฒนาการของนกกับไดโนเสาร์จะต้องเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน แต่อะไรจะ เป็นต้นตระกูลของอะไรจะต้องหาหลักฐานกันต่อไป แต่ที่แน่นอนที่สุดไดโนเสาร์ไม่ได้ สูญพันธุ์ไปจากโลกจนหมดสิ้น นักโบราณคดีและนักชีววิทยาหลายท่านเชื่อว่ายังมีไดโนเสาร์ สายพันธุ์หนึ่งที่ยังคงสืบเชื้อสายอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้และมีอยู่เป็นจำนวนมากมายต่างพากันเรียก ไดโนเสาร์กลายพันธุ์ชนิดนี้ว่า นก แต่ต้นตระกูลนกจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นนกชนิด ใดก่อนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันต่อไป

แจ็ก ฮอร์เนอร์ ซึ่งเป็นนักโบราณคดีและนักชีววิทยา รวมถึงนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ได้ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับไดโนเสาร์ไว้อย่างน่าฟัง ถึงเหตุผลที่ทำให้ไดโนเสาร์สามารถอยู่รอดได้ถึง 150 ล้านปี แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ไดโนเสาร์ที่มีลักษณะใหญ่โตเหล่านั้น ก็สูญพันธุ์ไปสิ้นเมื่อ 65 ล้าน ปีที่แล้ว มีหลากหลายทฤษฏีที่ชี้แจงการสิ้นสุดของไดโนเสาร์ ทั้งทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ตลอดจนทฤษฎีดาวหางและอุกกาบาต แต่ดูเหมือนทฤษฎีหลังจะเป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์และประชาชนทั่วไป

http://ecurriculum.mv.ac.th/library2/zoo/dinosour111/p27.gifhttp://www.nsru.ac.th/oldnsru/data/dino/fossil--Ceolophyus2.gifhttp://www.wissenschaft-online.de/sixcms/media.php/591/microraptor_3_.jpg

Credit : www.school.net.th